สำหรับธุรกิจโรงแรม ก็มีผลเกี่ยวเนื่องกับเรื่องคาร์บอนเครดิต โดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะในเมืองไทยเรา นักท่องเที่ยวชาวยุโรป อเมริกา ชอบมาพักผ่อน ซึ่งมาแต่ละครั้งก็มายาวๆ เป็นเดือน

 

ที่อยากจะสื่อคือ หากเค้าอยู่ที่ประเทศเค้า แล้วจะค้นข้อมูล ใน google เกี่ยวกับ สถานที่พัก หรือโรงแรม แล้ว google จะแสดงผล ว่าบางแห่งในรายการจะมีแท็กที่ระบุว่า "ผ่านการรับรองด้านสิ่งแวดล้อม"

Google ร่วมมือกับองค์กรต่างๆ เช่น Green Key หรือ EarthCheck เพื่อดำเนินการตามกระบวนการรับรองเหล่านี้

ซึ่งเมื่อโรงแรมนั้นๆ ได้รับการแสดงผลการค้นหาว่า ได้รับการรับรองด้านสิ่งแวดล้อม ก็มีผลให้เพิ่มช่องทางการได้ลูกค้ามากขึ้นนั่นเอง

 

ดังนั้น เกี่ยวกับการติดตั้งระบบโซล่าเซลล์ ของโรงแรมต่างๆ ก็เป็นส่วนหนึ่งของการได้รับรองด้านสิ่งแวดล้อม หรือการได้รับคาร์บอน เครดิต แบบกลายๆ นั่นเอง

ซึ่งในช่วง2-3ปีต่อจากนี้ คำว่า คาร์บอน เครดิต ก็จะมีการพูดถึงกันมากขึ้น ซึ่งการติดตั้งระบบโซล่าเซลล์ ก็จะเป็นสิ่งแรกที่นึกถึงและทำได้ง่ายสุด

อุปสรรคในการติดตั้งระบบโซล่าเซลล์ สำหรับโรงแรม คือใช้พลังงานไฟฟ้าเยอะมาก แต่มีพื้นที่ติดตั้งแผงโซล่าเซลล์น้อยมากๆ

 

  

 

ดังรูปที่นำมาให้ดูเป็นตัวอย่าง จะเห็นว่าติดแผงบนดาดฟ้า ได้เต็มที่เลย 130 แผง หรือประมาณ 70 kWp. ซึ่งประหยัดค่าไฟได้ประมาณ 4-5หมื่นบาท/เดือน

แต่โรงแรมเสียค่าไฟฟ้า มากกว่า 5แสนบาท/เดือน

 

ตามรูปจะเห็นว่า มีพื้นที่ว่างตรงไหน เราใส่แผงทั้งหมด ซึ่งก็เป็นผลให้มุมการรับแสง ของแผงแต่ละชุด แตกต่างกัน หรือแต่ละแผงได้รับความเข้มแสง และมุมตกกระทบ ไม่เท่ากัน อีกทั้งบางส่วนโดนเงาบังอีกต่างหาก

 

ดังนั้นกรณีนี้ เราจึงจำเป็นต้องใช้ อินเวอร์เตอร์ SolarEdge แบบมี Power Optimizer เพื่อชดเชย หรือลดทอน การสูญเสีย กรณีที่แผงรับแสงไม่เท่ากัน

*แต่ของ Huawei ก็เริ่มพัฒนา ใส่ Power Optimizer ได้บ้างแล้ว ซึ่งก็ต้องให้เวลาเป็นเครื่องตัดสิน ว่า มีประสิทธิภาพแจ๋วจริงไม๊*

อีกรูป ก็จะเป็นระบบมอนิเตอร์ ของ SolarEdge ที่เห็นกำลังการผลิต เป็นรายแผง สำหรับแผงดำๆ นั้นโดนเงาบังในช่วงเช้าถึงสายๆ (ฤดูหนาว พระอาทิตย์เคลื่อนมาแนวทางทิศใต้ๆ เค้าเรียกตะวันอ้อมข้าว รึป่าว?) แต่หากเป็นฤดูร้อน และฤดูฝน ก็จะโดนเงาบังน้อยลง เพราะ พระอาทิตย์เคลื่อนไปแนวทิศเหนือๆอีกหน่อยนึง