fbpx

6. SOH (State of Health) – แปลตรงตัวก็ “สภาพสุขภาพของแบตเตอรี่” นั่นแหละ!

ถ้าแบตเตอรี่เป็นคน — SOH ก็คือ ผลตรวจสุขภาพประจำปี

เหมือนหมอบอกว่า “ไตยังดีนะ ปอดยังโออยู่ แต่หัวใจเริ่มอ่อนแรง ตับยังไม่แข็ง เติมเก๊กฮวยได้อีกเยอะนะลูก!!” 🩺💔

• เป็นค่าที่ใช้บ่งบอกสุขภาพของแบตเตอรี่ในเชิงระยะยาว ค่ามักแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์ (%)

• เปรียบเทียบความจุและประสิทธิภาพปัจจุบันของแบตเตอรี่กับค่าตั้งต้นเมื่อแบตใหม่

• หากแบตเตอรี่มี SOH ต่ำ หมายถึงแบตเริ่มเสื่อม และอาจต้องเปลี่ยนในอนาคต

• ยกตัวอย่างว่า ซื้อ IPHONE มาตอนแรก มีค่า SOH มา 100% พอใช้ไปสักระยะหนึ่ง 2-3ปี ค่า SOH ก็จะลดต่ำลงเหลือ 80% เป็นต้น

• สรุป คือเมื่อใช้งานแบตเตอรี่ ไประยะเวลาหนึ่ง ค่า SOH ก็จะลดต่ำลง จะลดลงมากหรือน้อย ก็ขึ้นกับคุณภาพแบตเตอรี่แต่ละยี่ห้อ

ขยายความ สำหรับของแบตเตอรี่ของ BYD ( ที่นำมาจับคู่กับ SOLIS Inverter ) เค้าจะมีรับประกันว่า ภายใน 7 ปี หากค่า SOH ต่ำกว่า 65% จะเปลี่ยนให้ทันที ซึ่งสามารถดูค่า SOH ได้จากแอปของ SolisCloud

" BYD warrants that the Product retains Sixty-five percent (65%) of Usable Energy for seven (7) years from the Invoice Date."

 แล้วแบตฯ สุขภาพดีแค่ไหนดูยังไง? SOH จะบอกเป็นเปอร์เซ็นต์

100% = แบตใหม่เอี่ยม สดใสวัยรุ่นจ๋า!

80% = ยังแข็งแรงอยู่ แต่วิ่งขึ้นบันได 5 ชั้นอาจหอบนิดๆ

50% = เริ่มโทรม ลุกเร็วๆ อาจเวียนหัว

ต่ำกว่า 30% = แบตแก่แล้วครับท่าน พร้อมเกษียณเต็มที 🧓🔋

🗣️ แบตคงอยากพูดว่า... "ก็อายุฉันเยอะแล้วนะ! แกลองชาร์จตัวเองทุกวันแล้วดูว่าจะอยู่ได้กี่ปี!" 😂

⚠️ คิดซะว่า “ถังน้ำที่เคยใส่ได้ 10 ลิตร ตอนนี้ใส่ได้แค่ 6 ลิตร” แต่คุณยังเทน้ำจนล้น แล้วสงสัยว่าทำไมน้ำหก 🤣

สูตรง่ายๆ:

SOH (%) = (ความจุปัจจุบัน ÷ ความจุตอนใหม่) × 100
เช่น แบตใหม่ 3000 mAh → ตอนนี้เหลือจุได้ 2400 mAh
SOH = (2400 ÷ 3000) × 100 = 80%

💬 ภาษาชาวบ้านคือ: “แบตไม่ระเบิดหรอก แต่เหมือนมือถือหิวข้าวบ่อยขึ้น ต้องชาร์จบ่อย เพราะกินไฟแต่ไม่อิ่ม”

 

 

7. SOC (State of Charge) – สถานะการชาร์จของแบตเตอรี่ ก็คือค่าที่บอกว่าแบตเตอรี่ยังมีไฟเหลืออยู่กี่เปอร์เซ็นต์ — พูดง่ายๆ มันคือเกจน้ำมันของโลกแบตเตอรี่นั่นเอง! ถ้า SoC 100% ก็เหมือนคุณเพิ่งเติมน้ำมันเต็มถัง พร้อมลุยทุกเส้นทาง ถ้าเหลือ 5% ก็เตรียมหาที่เสียบปลั๊กให้ไว ไม่งั้นมีนั่งร้องไห้กลางทุ่งแน่ๆ 😅

• แสดงปริมาณพลังงานที่เหลืออยู่ในแบตเตอรี่ มักแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์ (%)

• ใช้คล้ายกับการดูปริมาณแบตเตอรี่ในมือถือ เช่น SOC = 100% หมายถึงแบตเต็ม SOC = 0% หมายถึงแบตหมด

• แต่หากใช้ไประยะหนึ่ง แล้วค่า SOH ไม่ถึง 100% แล้วถ้า SOC 100% ปริมาณพลังงานไฟฟ้า ก็ลดลงตามไปด้วย

 

ช่วงการทำงานปกติของ SoC:

  • 20%–100% เป็นช่วงที่แบตทำงานได้อย่างสุขภาพดี

  • ต่ำกว่า 20% เรียกว่า "เสี่ยงหมดแรง" (ไม่ถึงขั้นตาย แต่บ่นแล้วบ่นอีก)

  • สูงกว่า 95–100% อาจเข้าสู่โหมด "อิ่มเกินพิกัด" ถ้าไม่มีระบบจัดการดีๆ

  • ซึ่ง ตัวบริหารจัดการแบตเตอรี่ เราเรียกว่า BMS แล้วตอนต่อๆไปค่อยมาทำความรู้จักกัน
  • แบตเตอรี่ BYD LV5.0 คนขายเค้าบอกว่า สามารถจ่ายไฟ หรือ Discharge ได้ไปถึง 0% เลยนะนั่น!!!

  

8. DOD (Depth of Discharge) – ค่าความลึกการคายประจุ (%)
เอาแบบเข้าใจง่ายคือ ถ้ารถเราเติมน้ำมันเต็มถัง แล้วเราใช้หมดเกลี้ยงเลย ก็คือใช้หมด 100% พอเติมใหม่ก็สตาร์ทติดเลย ไม่มีปัญหา
แต่ถ้าเป็นแบตเตอรี่ ถ้าแบตหมด 100% บ่อย ๆ ก็จะทำให้ แบตเตอรี่เสื่อมเร็วมาก ๆ ดังนั้นเราจึงดักทางไว้ก่อน เอาแค่แบตหมดแค่ 80% (เหลือก้นถังไว้ 20%) แล้วเราหยุดขับเลย (คือหยุดจ่ายไฟ) แล้วเรามาเติมไฟเข้าแบตเพิ่ม ค่อยจ่ายไฟให้เต็ม แล้วค่อยจ่ายไฟใหม่ นี่แหละทำให้อายุการใช้งานแบตเตอรี่ยาวนานขึ้น

🎯 DOD ของ BYD LV5.0 มีอะไรพิเศษ?

BYD LV5.0 ใช้เทคโนโลยี ลิเธียมไอรอนฟอสเฟต (LiFePO₄) ที่ขึ้นชื่อเรื่องทนทาน เขาอนุญาตให้ DOD ได้เยอะมากถึง 90–100% เลยนะ!

แต่… อย่าเพิ่งดีใจเกินไป เพราะมันมีเงื่อนไขเหมือนสั่งอาหารลดราคาในแอป:

  • ใช้ 100% DOD ได้ → แต่ไม่ควรทำ บ่อย

  • ใช้ 80–90% DOD เป็นมาตรฐาน → ดีที่สุดต่ออายุแบต

  • ใช้แค่ 50% DOD → เหมือนขับรถวันละนิด แบตก็จะอยู่ยาวววว~

  • แบตเตอรี่ BYD LV5.0 คนขายเค้าบอกว่า สามารถจ่ายไฟ หรือ Discharge ได้ไปถึง 0%  หรือ DOD = 0% เลยนะนั่น!!! 

  • ถึงจะบอกงั้นก็เถอะ DOD 0% ถ้าเราใช้งานจริงอย่างน้อย สัก 10-20๔ ก็ยังดีนะ safety factor เผื่อๆไว้ก่อนเนอะ 

 

 9. แบตเตอรี่แบบ Low Volt : หมายถึงระดับแรงดันไฟฟ้า ที่ระบบแบตเตอรี่นั้นทำงาน ซึ่งมีผลโดยตรงต่อการเลือกใช้อินเวอร์เตอร์และวิธีการติดตั้งระบบ
สำหรับ แบตเตอรี่ ที่แรงดันต่ำ ในโลกของแบตเตอรี่ ลิเธียม คือแรงดันไม่เกิน 100 โวลท์ 

สำหรับแบตเตอรี่ของ BYD Battery-Box LV5.0 รุ่น  Low Volt ใช้แรงดัน ประมาณ 40 - 57.6 V. 

  • แรงดันใช้งาน (Nominal Voltage): 51.2 V
  • พิกัดพลังงาน: 5.12 kWh
  • ความจุใช้งานได้: ประมาณ 4.6–4.8 kWh (90–95%)
  • เคมีของแบตเตอรี่: LiFePO₄ (ปลอดภัย, อายุการใช้งานนาน)
  • สามารถขยายได้: นำหลายก้อนมาต่อขนานได้ (สูงสุด ~160 kWh ขึ้นอยู่กับรุ่นของ BMS และอินเวอร์เตอร์) 
  • ข้อดีของระบบ Low Voltage:

    • ปลอดภัยกว่า เพราะแรงดันต่ำ
    • เหมาะกับบ้านพักอาศัยขนาดเล็กถึงกลาง
    • ซ่อมบำรุงง่าย

    ข้อเสีย

    • หากต้องการกำลังสูง ต้องใช้สายขนาดใหญ่
    • การขยายระบบจำกัดกว่าระบบ HV

 

10. แบตเตอรี่แบบ High Volt  : สำหรับแบบ High Volt ก็จะเป็นระบบทำงานที่แรงดัน มากกว่า 100 Volt ขึ้นไป 

 

ช่วงนี้เกี่ยวกับระบบโซล่าเซลล์ แบบไฮบริด ค่อนข้างมาแรง อันเนื่องจากราคาแบตเตอรี่ลิเธียม ในภาพรวม ราคาลดต่ำลงมาพอสมควร ที่เราๆท่านๆ พอที่จะเอื้อมมือไปแตะได้ถึง และประกอบกับ มีหลายๆยี่ห้อที่เข้ามาทำเล่นในตลาดบ้านพักอาศัย ในเมืองไทย เพิ่มมากขึ้น ก็เป็นสิ่งที่ดีสำหรับผู้บริโภค จะได้ใช้ของดี ราคาคุ้มค่า อีกทั้งถึงจุดคุ้มทุนเร็วขึ้น

ก่อนที่จะไปทำความเข้าใจระบบไฮบริด ที่มีแบตเตอรี่ลิเธียม เป็นพระเอก ( หรือว่า Inverter Hybrid เป็นพระเอก แล้วแบตเตอรี่ลิเธียม เป็นพระรอง กันแน่! แล้วแต่จะคิดแล้วกันเนอะ )

1. กำลังไฟฟ้า ( Power ) มีหน่วยเป็น วัตต์ : W  โดย 1,000 วัตต์ มีค่าเท่ากับ  1 กิโลวัตต์ ( 1,000 W = 1 KW. ) >>> กำลังไฟฟ้าที่อุปกรณ์ ใช้ ณ ขณะนั้น

     กำลังไฟฟ้า  W คือการใช้งานของโหลดหรือเครื่องใช้ไฟฟ้า ณ ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น ซึ่งการกินกำลังไฟฟ้าก็จะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

 

ยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายๆ 
พัดลม กินไฟ 50 W. ,
TV กินไฟ 100 W. ,
เตารีดกินไฟ 3,000 W. ,
มอเตอร์กินไฟ 1,000 w. แต่ตอนสตาร์ท เสี้ยววินาทีแรกอาจกินถึง 3,000 w.

แอร์ (ไม่ใช่แอร์อินเวอร์เตอร์) 1 ตัน ตอนคอมเพรสเซอร์สตาร์ท กินไฟ 3,000 w. แค่ไม่ถึงครึ่งวินาที แต่พอสตาร์ทเสร็จแล้วกินไฟแค่ 1,000 w
แต่พอห้องเย็นลงแล้ว คอมฯหยุด กินไฟแค่ 200 w.
.
ก็จะเห็นว่า กำลังไฟฟ้า W / KW เป็นการแสดงกำลังไฟฟ้าในแต่ละช่วงเวลา
.
>>>  เปรียบเทียบ  kW เหมือนกับ “ความเร็วของรถ” เช่น รถวิ่งเร็ว 100 กม./ชม. เปรียบเทียบว่า เหมือนเครื่องใช้ไฟฟ้ากินไฟ 1 kW.

 

 

2. พลังงานไฟฟ้า ( Energy ) มีหน่วยเป็น WH โดยส่วนใหญ่ เราจะคุ้นชิน เป็น KWH ซึ่งก็มีความหมายว่า  1,000 วัตต์-เอาว์ มีค่าเท่ากับ 1 กิโลวัตต์-เอาว์ ซึ่ง 1 KWH. มีค่าเท่ากับ 1 หน่วยไฟฟ้า (Unit) ที่การไฟฟ้า เก็บเงินค่าไฟฟ้า หน่วยละประมาณ 4 บาท/หน่วย นั่นเอง >>> ปริมาณไฟฟ้าที่ใช้สะสมตามระยะเวลาที่รวมๆมา

      • ความหมายเชิงปริมาณ:
      • ถ้าบ้านหนึ่งใช้กำลังไฟ 1 kW ติดต่อกัน 1 ชั่วโมง จะใช้พลังงาน 1 kWh
      • ในใบเรียกเก็บค่าบริการไฟฟ้า มักคิดหน่วยเป็น “หน่วย” (Unit) ซึ่ง 1 หน่วย = 1 kWh

    พลังงานไฟฟ้า KWH คือการนำเอากำลังไฟฟ้า x เวลา (ชั่วโมง) จึงมีหน่วยเป็น กิโลวัตต์-ชั่วโมง เช่น

     - พัดลม 50 W เปิด 10  ชั่วโมง แสดงว่า ใช้พลังงาน = 50 x 10 = 500 WH หรือ 0.5 KWH.    ===> 0.5 หน่วย เสียค่าไฟประมาณ 2 บาท

     - TV 100 W เปิด เปิด 10 ชั่วโมง แสดงว่า ใช้พลังงาน = 100 x 10 = 1,000 WH หรือ 1 KWH  ===> 1 หน่วย เสียค่าไฟประมาณ 4 บาท

     - เตารีด 3,000 W .ใช้งาน 1 ชั่วโมง แสดงว่า ใช้พลังงาน = 3,000 x 1 = 3,000 WH หรือ 3 KWH  ===> 3 หน่วย เสียค่าไฟประมาณ 12 บาท

    * อุปกรณ์ที่เป็นแหล่งจ่ายพลังงาน จะมีหน่วยเป็น kWh เช่น แบตเตอรี่ เป็นต้น (กว่าจะโยงมาเข้าแบตเตอรี่ได้ ไหลไปอื่นซะยาวเลย) ถ้าเปรียบเทียบก็เหมือน โอ่งเก้บน้ำที่มี ปริมาตรน้ำอยู่ในโอ่ง ก็เช่นกันที่แบตเตอรี่ก็จะมีพลังงานไฟฟ้า เก็บไว้ โดยมีหน่วยเป็น KWH (ส่วนใหญ่จะชอบเขียนเป็น kWh. อันนี้ไม่ต้องสนใจนะ ความหมายเหมือนกัน *แต่จริงๆก็มีที่มา เดี๊ยวจะยาวเกินไป )

>>>  เปรียบเทียบ kWh = ระยะทาง  คือเอาความเร็ว (kW) × เวลาที่วิ่ง (ชั่วโมง) ได้เป็นระยะทางที่รถวิ่งไปได้
         • ถ้ารถวิ่ง 3 km/h (3 kW) นาน 2 ชั่วโมง ก็วิ่งได้ 3×2 = 6 กม. เหมือนใช้ไฟ 3 kW นาน 2 ชม. ก็ใช้ไฟ 6 kWh

ขยายความ ตัวอย่างความจุของแบตเตอรี่ BYD 1 Module

แบตเตอรี่ BYD 1 Module มีความจุ 5 kWh >>> หากเรามีเครื่องใช้ไฟฟ้า กินไฟ 1 kW. เราใช้ไฟได้นาน 5 ชั่วโมง

                                          >>> หากเรามีเครื่องใช้ไฟฟ้า กินไฟ 2.5 kW. เราใช้ไฟได้นาน 2 ชั่วโมง

                                          >>> หากเรามีเครื่องใช้ไฟฟ้า กินไฟ 5 kW. เราใช้ไฟได้นาน 1 ชั่วโมง

แบตเตอรี่ BYD 2 Module มีความจุ 10 kWh  >>> หากเรามีเครื่องใช้ไฟฟ้า กินไฟ 1 kW. เราใช้ไฟได้นาน 10 ชั่วโมง

                                             >>> หากเรามีเครื่องใช้ไฟฟ้า กินไฟ 5 kW. เราใช้ไฟได้นาน 2 ชั่วโมง

                                             >>> หากเรามีเครื่องใช้ไฟฟ้า กินไฟ 10 kW. เราใช้ไฟได้นาน 1 ชั่วโมง

**เคยเขียนบทความ ความหมายของ กำลังไฟฟ้า kW. และ พลังงานไฟฟ้า kWh. แถมไฮบริด ตอนท้ายๆ ที่ค่อนข้างละเอียดแล้วลองเข้าอ่านดูครับ

 

3. Charge (การชาร์จแบตเตอรี่) คือ กระบวนการเติมพลังงานไฟฟ้าเข้าแบตเตอรี่ กระแสไฟฟ้าไหลจากแหล่งจ่ายไฟ → เข้าสู่แบตเตอรี่ ทำให้แรงดันและระดับพลังงานในแบตเพิ่มขึ้น เช่น การเสียบสายชาร์จมือถือ เปรียบเทียบได้กับ การเติมน้ำเข้าโอ่งน้ำ เพื่อเตรียมนำน้ำ นั้นมาบริโภค หรือ ใช้กิน ใช้อาบ เป็นต้น

       ซึ่งแหล่งจ่าย พลังงานไฟฟ้าต้องมากกว่า แบตเตอรี่ ( ในที่นี้องค์ประกอบของพลังงานไฟฟ้า ก็คือ กระแสไฟฟ้า , แรงดันไฟฟ้า , กำลังไฟฟ้า และ เวลา ) สำหรับระบบไฮบริด แหล่งพลังงานไฟฟ้าที่เติมเข้าแบตเตอรี่ ก็คือ ไฟฟ้ากริดของการไฟฟ้าฯ และไฟฟ้าจากโซล่าเซลล์

ขยายความ ถ้าลงรายละเอียดเรื่องการชาร์จ แล้ว มันคือการทำให้กระแสไฟฟ้า จากจุดหนึ่งที่มีแรงดันสูงกว่า(ฝั่งแหล่งจ่ายไฟโซล่า หรือ ไฟกริด) ไปยังอีกจุดหนึ่งที่มีแรงดันต่ำกว่า(ฝั่งแรงดันต่ำกว่าคือแบตเตอรี่) 

ยกตัวอย่าง ของแบตเตอรี่ BYD รุ่น LV5.0 ที่มีค่าแรงดัน การชาร์จ ที่แรงดัน ขั้นสูงสุดอยู่ที่ 57.6 V. ซึ่งหมายความว่า เมื่อค่าพลังงานไฟฟ้า kWh.ของแบตเตอรี่ลดลง (ย่อมหมายถึง กระแสไฟฟ้า และแรงดันไฟฟ้าลดงลงด้วย เพราะ กำลังไฟฟ้า = กระแสไฟฟ้า x แรงดันไฟฟ้า) เราก็ต้องทำการชาร์จไฟเข้ายังแบต จนค่าพลังงานไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น ซึ่งค่าแรงดันก็สูงขึ้นตามไปด้วย จนถึงค่าแรงดันที่ 57.6 V. ก็ต้องหยุดการชาร์จ ก็คือแบตเตอรี่เต็ม นั่นเอง.

 

สำหรับเราฝั่งผู้ใช้งาน เราไม่ต้องรับรู้เรื่องแรงดันไฟฟ้า ว่ามันจะเต็มกี่โวลท์ หรือกระแสกี่แอมป์ เพราะจะยิ่งทำให้เราสับสนไปใหญ่
เราแค่จำคร่าวๆว่า แบตเตอรี่มีความจุ 5 กิโลวัตต์-เอาว์ kWh หรือ 5ยูนิต ใช้งานแอร์ 1 ตัน ได้ประมาณ 5 ช.ม. ก็พอแล้ว ^L^'

 

 

4. Discharge (การคายประจุแบตเตอรี่) คือ กระบวนการที่แบตเตอรี่จ่ายพลังงานออกมาให้โหลด (เครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ) กระแสไฟฟ้าไหลจากแบตเตอรี่ → ไปยังอุปกรณ์ พลังงานในแบตเตอรี่ลดลงเรื่อย ๆ เช่น การใช้งานมือถือจนแบตลดลง

       เมื่อพูดถึงการ Discharge ก็จะมีคำถามว่าแล้วแบตเตอรี่ สามารถปล่อยกำลังไฟฟ้า ได้เท่าไหร่ อย่างไร เพราะว่าเครื่องใช้ไฟฟ้า จะใช้กำลังไฟฟ้า มากน้อย ต่างกัน ขึ้นอยู่กับประเภทของเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น โหลดจำพวก มอเตอร์ ก็จะกินกระแสสูง(หรือใช้กำลังไฟฟ้าเยอะนั่นเอง) ซึ่งการที่จะดูว่าแบตเตอรี่มีความสามรถจ่ายกำลังไฟฟ้าได้มากน้อยเพียงใด ก้ต้องขึ้นอยู่กับค่า C-Rate นั่นเอง ก็ดูความหมายในหัวข้อถัดไป ซึ่งค่า C-Rateยิ่งสูง ต้นทุนการผลิตก็สูงตามไปด้วย

ขยายความ ดังตัวอย่างของ แบตเตอรี่ BYD LV5.0 ที่มีค่า Discharge Cut-Off Voltage = 40 V. ก็หมายถึงเมื่อแบตเตอรี่ จ่ายพลังงานไฟฟ้าไปยังโหลด หรือเครื่องใช้ไฟฟ้า จนค่าพลังงานลดลงไปเรื่อยๆ จนมีผลให้ค่าแรงดันก็ลดลงตามไปด้วย จนถึงค่าแรงดันที่ 40 V. ระบบก็หยุดการจ่ายไฟ ซึ่งก็หมายถึงแบตเตอรี่ เหลือ 0% นั่นเอง 

*ทั้งนี้ค่าแบต 0% ของแต่ละยี่ห้อก้อาจจะไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับการออกแบบระบบ อันนี้กล่าวเพื่อให้เข้าใจแบบง่ายๆ นะครับ 

ขยายความ ตัวอย่าง บ้านเราติดตั้งโซล่าเซลล์ แบบไฮบริด ที่มีแบตเตอรี่ แล้วแบตเตอรีจ่ายไฟให้กับเครื่องใช้ไฟฟ้า คือการ Discharge  และเมื่อแบตเตอรี่ใกล้หมด (ตั้งค่าตามที่ผู้ผลิตแนะนำ) เราก็ให้โซล่าเซลล์ หรือไฟของการไฟฟ้า เติมพลังงานเข้าแบตเตอรี่ เราเรียกว่า Charge

 

5. C-Rate – อัตราการคายประจุหรือชาร์จประจุ  คือการวัดอัตราการชาร์จหรือคายประจุของแบตเตอรี่ เทียบกับความจุที่ระบุไว้ 

 

ค่า C-Rate (อ่านว่า "ซีเรท" ไม่ใช่ "ซีไร้" นะ!) คือ ค่าที่บอกว่าแบตเตอรี่สามารถชาร์จหรือจ่ายไฟได้เร็วแค่ไหน ถ้าให้เปรียบก็เหมือน "ความเร็วในการกินข้าวของแต่ละคน"

คนกินช้า กินทีละคำ ค่อยๆ เคี้ยว – แบตชาร์จช้า (C-Rate ต่ำ)

คนหิวโซ กินเหมือนแข่งกินบะหมี่ – แบตชาร์จไว (C-Rate สูง)

💡 สูตรเข้าใจง่าย
C-Rate = อัตราการชาร์จหรือคายประจุ (A) ÷ ความจุแบตเตอรี่ (Ah)

เช่น ถ้าแบตฯ ขนาด 1000 mAh (หรือ 1 Ah) แล้วจ่ายกระแสไฟออกที่ 1 A ก็จะมี C-Rate = 1C (คายไฟหมดใน 1 ชั่วโมงพอดี)

 

       • ตัวอย่างเช่น: 
       • 1C หมายถึง การชาร์จหรือคายประจุเต็มความจุภายใน 1 ชั่วโมง
       • 0.5C หมายถึง ใช้เวลาชาร์จหรือคายประจุ 2 ชั่วโมง
       • 2C หมายถึง ชาร์จหรือคายประจุเสร็จใน 30 นาที
       • C-Rate สูงเกินไปอาจทำให้แบตเตอรี่ร้อนหรือเสื่อมไว ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับบริษัทผู้ผลิต กำหนดมา ซึ่งเราผู้ใช้งานก็ควรต้องปฏิบัติตาม เพื่อยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ 

       • ความหมายอีกนัยยะหนึ่ง คือ ตัวอย่าง เช่น 

         - แบตเตอรี่ BYD รุ่น BATTERY-BOX LV5.0 ขนาด 5 kWh. มีค่า C-Rate เท่ากับ 0.7 C ก็หมายความว่า ชาร์จและจ่ายกำลังไฟฟ้า ได้ 3.5 kW.  *ถ้าจ่ายไฟเกินจาก 3.5 kW. อาจทำให้แบตเตอรี่ชำรุดได้

        - แบตเตอรี่ LUNA ของ Huawei ขนาด 5 kWh. มีค่า C-Rate เท่ากับ 0.5 C ก็หมายความว่า ชาร์จและจ่ายกำลังไฟฟ้า ได้ 2.5 kW. *ถ้าจ่ายไฟเกินจาก 2.5 kW. อาจทำให้แบตเตอรี่ชำรุดได้

 🧠 ทำไมต้องรู้ C-Rate?  >>> เพราะถ้าชาร์จ/คายประจุเร็วเกินไป = แบตเสื่อมไว, ร้อน, หรือบูม! 💥 (ไม่ใช่บูมเมอแรงนะ เป็นบูมแบบโดรนลุกพรึ่บ)

🤖 สรุปแบบง่ายๆ  >>> C-Rate ก็คือความสามารถในการ "กินไฟ" หรือ "พ่นไฟ" ของแบตลิเธียม ถ้าให้มันกินเร็วไป โดยไม่ดูความจุ ก็เหมือนให้เด็กๆกินบุฟเฟ่ต์ 50 จาน – มีแต่พังกับพัง 😅